วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

ธรรมะดีดีข้อคิดสะกิดใจ


แนะนำเวปเผยแพร่ธรรมะดีดีเพื่อสังคม เลือกฟัง ฟังแล้วได้ข้อคิดมีแรงบันดาลใจ เลือกอ่าน ตามชอบ คลิก


☼♥*¨*•..¸♥☼♥ ¸.•*¨*•.•♥☼♥


อานิสงค์ของทานแตกต่างกันดังนี้

๑. ทำบุญกับสัตว์เดรัจฉาน ๑๐๐ ครั้ง ได้บุญไม่เท่ากับทำบุญกับขอทาน ๑ ครั้ง

๒. ทำบุญกับขอทาน ๑๐๐ ครั้ง ได้บุญไม่เท่ากับทำบุญกับคนมีศีล แล้วศีลขาด ๑ ครั้ง

๓. ทำบุญกับคนมีศีล แล้วศีลขาด ๑๐๐ ครั้ง ได้บุญไม่เท่ากับทำบุญกับพระโสดาปัตติมรรค ๑ ครั้ง

๔. ทำบุญกับพระโสดาปัตติมรรค ๑๐๐ ครั้ง ได้บุญไม่เท่ากับทำบุญกับพระโสดาปัตติผล ๑ ครั้ง

๕. ทำบุญกับพระโสดาปัตติผล ๑๐๐ ครั้ง ได้บุญไม่เท่ากับทำบุญกับพระสกิทาคามีมรรค ๑ ครั้ง

๖. ทำบุญกับพระสกิทาคามีมรรค ๑๐๐ ครั้ง ได้บุญไม่เท่ากับทำบุญกับพระสกิทาคามีผล ๑ ครั้ง

๗. ทำบุญกับพระสกิทาคามีผล ๑๐๐ ครั้ง ได้บุญไม่เท่ากับทำบุญกับพระอนาคามีมรรค ๑ ครั้ง

๘. ทำบุญกับพระอนาคามีมรรค ๑๐๐ ครั้ง ได้บุญไม่เท่ากับทำบุญกับพระอนาคามีผล ๑ ครั้ง

๙. ทำบุญกับพระอนาคามีผล ๑๐๐ ครั้ง ได้บุญไม่เท่ากับทำบุญกับพระอรหัตมรรค ๑ ครั้ง

๑๐. ทำบุญกับพระอรหัตมรรค ๑๐๐ ครั้ง ได้บุญไม่เท่ากับทำบุญกับพระอรหัตผล ๑ ครั้ง

๑๑. ทำบุญกับพระอรหัตผล ๑๐๐ ครั้ง ได้บุญไม่เท่ากับทำบุญกับพระปัจเจกพุทธเจ้า ๑ ครั้ง

๑๒. ทำบุญกับพระปัจเจกพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง ได้บุญไม่เท่ากับทำบุญกับพระพุทธเจ้า ๑ ครั้ง

๑๓. ทำบุญกับพระพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง ได้บุญไม่เท่ากับทำบุญถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง

๑๔. ถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้ง ได้บุญไม่เท่ากับทำบุญวิหารทาน ๑ ครั้ง

๑๕. แล้วพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า การให้ธรรมทาน ชนะทานทั้งปวง (การให้วัตถุเป็นทานนั้น วิหารทานได้บุญสูงสุด)


สรุปว่า คนฉลาดในการทำบุญ เขาย่อมเลือกถวายธรรมทานกัน เพราะตัดอารมณ์โลภ-โกรธ-หลงได้
ก็ไปพระนิพพานได้ง่าย ส่วนวัตถุทานนั้นไปได้แค่สวรรค์

แต่คนเรามีจริต-นิสัยและกรรมแตกต่างกันมาในอดีต จึงมีกำลังใจหรือบารมีธรรมแตกต่างกัน
จึงทำบุญตามกำลังใจของตน ซึ่งถือว่าเป็นของธรรมดาทั้งสิ้น

คนฉลาดในการทำบุญที่เป็นวัตถุทาน หากเขาถวายวิหารทานเพียง ๑ บาท เขาจะได้
บุญสูงถึงเอาเลข ๑ นำหน้า แล้วเติมเลข ๐ ต่อท้ายไปอีก ๒๔ ศูนย์
หรือ ๑,๐๐๐,๐๐๐ x ๐๐๐, ๐๐๐ x ๐๐๐,๐๐๐ x ๐๐๐,๐๐๐ ซึ่งก็ไม่ทราบว่าจะอ่านว่าเท่าไหร่
โปรดพิจารณาเอาเอง กรรมใคร-กรรมมัน

แต่บุคคลที่ต้องการทำบุญ-ทำความดีทุกชนิด เพื่อพระนิพพานจุดเดียว
จัดเป็นอธิษฐานบารมี ทำจนจิตชินเป็นฌาน เมื่อร่างกายหรือขันธ์ ๕ พัง
จิตเขาก็ตรงไปพระนิพพานจุดเดียวเป็นอัตโนมัติเช่นกัน


"ยกมาจากห้องสนทนาคติธรรมคำสอนดีดีสิ่งเตือนสติ  หน้า 945 thaimtb.com"

♠♠♠♠♠♠♠♠♠


>>..การส่งจิต..ออกนอก..<<
>>..เป็นตัวการแห่ง..ความทุกข์ทั้งหลาย..<<
>>..ทั้งปวง..ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ใจ..<<
>>..หรือการสร้าง..ความทุกข์..<<
>>..ให้แก่ชีวิต..ของตน..<<
>>..จึง..ประมาทไม่ได้..<<
>>..เรื่องการ..ส่งจิตออกนอก..<<
>>..ทำอย่างไร..เราจะไม่เผลอ..<<
>>..ส่งจิต..ออกนอก..<<
>>..ก็ต้องมี
"สติ"..<<

>>..สติ..ช่วยพาจิตมาอยู่กับปัจจุบัน..<<
>>..อยู่กับ..งานที่เราทำ..<<
>>..ดึงจิตกลับมา..ดูตัวเอง..<<
>>..หันมาเห็น..ความโกรธ..<<
>>..ความเกลียด..ความพยาบาท..<<
>>..รวมทั้ง..ความอิจฉาริษยา..<<
>>..ที่กำลังสะสม..อยู่ในใจ..<<
>>..เมื่อ..เห็นแล้ว..<<
>>..การปล่อยวาง..ก็จะเกิดขึ้นตามมา..<<

>>..ทำให้จิตโปร่งเบา..ไม่ทุกข์..<<

>>..หลวงปู่ดูลย์..จึงว่า..<<
>>.. "จิตเห็นจิต" คือ..มรรค.!..<<

                                                                                                                                      ♥พระไพศาล วิสาโล♥
O๐OO๐OO๐OO๐O๐

"พระพุทธเจ้าตรัสว่า"

ความสว่าง ต้องอาศัย ความมืดจึงปรากฎ
ความงาม ต้องอาศัย ความไม่งามจึงปรากฎ

ยกตัวอย่างเช่น เวลาเราจุดเทียน เทียนจะสว่างเมื่อเราอยู่ในที่มืด หรืออยู่ในห้องอยู่ในเวลากลางคืน ถ้าไม่มีความมืดเทียนก็ไม่สว่าง เช่นเราจุดเทียนกลางแดด เทียนเป็นเรื่องที่ไม่สว่างขึ้นมาทันทีเพราะมันอยู่ในที่จ้า
ในขณะเดียวกัน 
ความมืด ต้องอาศัย ความสว่างจึงปรากฎ
อย่างง่ายๆก็คือว่า เงา  เงาคน หรือ เงาแดด หรือเงาไม้ก็ตาม มันต้องมีแดดมีความสว่างทำให้เกิดเงาขึ้น ถ้าไม่มีแดดก็ไม่มีเงา มันคู่กันเลย เป็นฝาแฝด 
ลองพิจารณาไปอีกนิดหน่อย  อย่างเขาว่าดวงอาทิตย์มีจุดดับ เราส่องกล้องไปถ้าใช้กล้องพิเศษก็จะเห็นจุดดับในดวงอาทิตย์ แต่ว่าจริงๆมันไม่ดับหรอกไม่มืดหรอก  มันสว่าง มันร้อนขนาดพันองศา แต่ที่มันดูมืดก็เพราะว่า รอบๆข้างมันสว่างมันจ้าและร้อน เจ็ดพันกว่าองศา  พันองศาเลยกลายเป็นมืดไปเลย
ความมืด ต้องอาศัย ความสว่างจึงปรากฎ 
แต่ถ้าเกิดรอบๆข้างไม่สว่างขึ้นมา ตรงที่กลายเป็นจุดดับก็จะสว่างชัดเจน เพราะมันร้อนเป็นพันองศา ร้อนยิ่งกว่าไฟในเตาที่เราจุดเสียอีก...




♥พระไพศาล วิสาโล♥

()()()()()()()()()()()()()()()()()()()


"ถ้าเรารักสุข เกลียดทุกข์ ก็ควรรู้จัก  ให้อภัย เพราะถ้าเราไม่ให้อภัย  ความโกรธ  ความเกลียด  ความพยาบาท ก็จะเผารนจิตใจทำให้รุ่มร้อน แต่ถ้าเรารู้จักให้อภัย ก็จะช่วยปลดเปลื้อง ความโกรธ ความเกลียด ออกไปจากใจเรา เป็นเสมือนน้ำเย็นที่จะดับไฟภายในใจให้สงบลงได้ เป็นเสมือนยาสามัญประจำใจที่เราควรมีไว้อยู่ตลอดเวลา"

♥พระไพศาล วิสาโล♥

^\^\^\^\^\^\/^/^/^/^/^/^



"อาตมายืนยันอยู่เสมอว่า โลกยุคปัจจุบันนี้ที่เจริญด้วยการศึกษานี้ ถือศีลข้อเดียวพอไม่ต้องยุ่งยากลำบากหลายข้อ  เวียนหัว  ศีลข้อเดียวคือ  ไม่เห็นแก่ตัว  ไม่เห็นแก่ตัว  ซึ่งเป็นหัวใจของศาสนาทุกศาสนา"

พุทธทาสภิกขุ

♠♠♠♠♠♠♠♠♠


"คนที่พูดจา ขวานผ่าซาก นั้น ถ้าหากจะรักษาอาการนี้ให้หายจะต้องทำอย่างไร ก็ตอบง่ายๆว่า 
1. การพูดจาขวานผ่าซากนั้นมีทั้งข้อร้ายและข้อดี  ข้อดีก็คือรู้เรื่องง่าย แต่ข้อร้ายก็คือมีแต่คนไม่ชอบหน้า
ข้อ 
2. ต้องรู้จักปรับตัวใ้ห้เป็นคนพูดตรงหรือพูดขวานผ่าซากเฉพาะต่อหน้าคนที่เขาพร้อมจะฟัง หากเขาไม่พร้อมจะฟัง เราก็จะพังกันเมื่อนั้น
ข้อ
3. นอกจากพูดตรงแล้วต้องรู้จักดูด้วยว่า  พูดตรงเรื่อง  พูดตรงคน  พูดตรงกาละเทศะ หรือไม่ 

ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า

การพูดตรงเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าไม่ตรงคน ไม่ตรงเรื่อง ไม่ตรงกาละเทศะ พูดเมื่อไหร่ก็จะหายนะกันเมื่อนั้น"

"คมธรรมประจำวันกับท่าน ว.วชิรเมธี"


 



" เลือกเอาเอง "

ผู้ปฏิบัติคนหนึ่งถามว่า วิธีไหนทำบุญทางลัดได้บ้าง
ทางลัดคือ การทำกรรมฐานนั่นเอง

เมื่อนั่งกรรมฐาน จิตของเราสงบแวบเดียวก็ได้แล้ว
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นเ
ส้นทางตรง
ไม่ใช่เส้นทางอ้อม

จึงขอแนะนำว่า เราต้องมีทั้งทาน ศีล ภาวนา

พระพุทธเจ้าทรงสอนและบอกทาง ให้คนรู้จักเลือกเอาเองว่า
หากคนไม่มีโอกาส ไม่มีเวลาแต่มีปัจจัย ก็ทำทานไป

วิธีการทำบุญทางพระพุทธศาสนาแยก
ไว้ให้เราเลือกชัดเจน
คนไม่มีเงินทองเลือกวิธีการรักษ
าศีล
หรือทำกรรมฐานได้หรือไม่

ก็ตอบว่าได้ รวมทั้งการอนุโมทนาบุญ
นี่คือทางเลือกของคนไม่มีเงินไม
่มีทอง
ไม่มีปัจจัยที่จะทำบุญ

พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ละเอียดยิ

สำหรับบุคคลทุกระดับในอินเดีย มีคนทุกระดับ ทุกจำพวก
บุคคลจำพวกคหบดีเท่านั้นที่มีโอ
กาสเข้าใกล้พระพุทธเจ้า
และได้ฟังธรรม คนยากจนนี้น้อยคนที่จะมีโอกาสเช
่นนั้น
แต่ก็ยังมีคนยากจนได้มีโอกาสฟัง
ธรรม
ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเสียทีเดียว

วิธีการทำบุญที่กล่าวไปนั้น
ถ้าให้พิจารณาว่าวิธีการใดดีกว่
ากัน
มันตอบยากว่าอะไรดีกว่ากัน
เพราะขึ้นอยู่ที่ว่าเราพอใจตรงไ
หน ถึงเรียกว่าดี
  หลวงพ่อวีระนนท์ วีรนนฺโท

((((((((((((((((()))))))))))))))))


แสวงหาความสุข 

     มีชายหนุ่มอยู่คนหนึ่ง เขาเป็นคนอัตคัดความสุข พยายามแสวงหาความสุขจากวิธีการต่างๆ แต่แล้วก็ยังรู้สึกว่า ไม่ใช่ความสุขแท้ที่ตัวเองต้องการ อยู่มาวันหนึ่ง มีผู้แนะนำว่า ถ้าอยากมีความสุขก็ควรจะมีบ้านเป็นของตัวเอง เพราะในบ้านของเรานั้น เราสามารถเป็นเจ้าของทุกอย่างในบ้าน โดยที่ไม่ต้องมีครมาคอยกวนใจ ซ้ำยังมีอิสระที่จะเสกสรรปั้นแต่ง หรือจัดบ้านให้เป็นไปตามความต้องการของตนเองอย่างไรก็ได้

     เขาเชื่อตามที่มีผู้แนะนำ จึงตัดสินใจสร้างบ้านขึ้นมาหลังหนึ่ง เมื่อแรกสร้างบ้านนั้น บ้านของเขาหลังใหญ่ทีเดียว พอมีบ้านแล้ว เขามีความสุขมาก เขาเริ่มจัดบ้านตามต้องการ และเริ่มหาข้าวของต่างๆ มากมาย มากองไว้ในบ้านทีละอย่างสองอย่าง จนกระทั่งวันหนึ่ง  ห้องว่างๆในบ้านของเขาก็หายไป ทุกพื้นที่ในบ้านเต็มไปด้วยข้าวของระเกะระกะ มองไปทางไหนก็รกหูรกตา
     ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าบ้านของตนเอง ช่างเป็นสถานที่ไม่น่าอยู่ อากาศก็อุดอู้ เขาเริ่มบ่นกับตัวเองว่า คิดผิดถนัดที่สร้างบ้านขึ้นมา เพราะนึกว่าบ้านจะให้ความสุขได้นานๆ บางวันเขาก็ครุ่นคำนึงว่า น่าจะสร้างบ้านให้หลังใหญ่กว่านี้ จะได้บรรจุอะต่อมิอะไรได้เยอะๆ ตามต้องการ ขณะที่เขาเริ่มไม่มีความสุขเพราะบ้านกลายเป็นโกดังเก็บของนั้นเอง  ก็มีนักปราชญ์คนหนึ่งผ่านมาแถวนั้น เขาบ่นดังๆจนปราชญ์คนนั้นได้ิยิน นักปราชญ์หนุ่มจึงแนะนำว่า
      ถ้าเขาอยากให้บ้านเป็นสถานที่แห่งความสุข ก็ไม่เห็นจะยากอะไร เพียงแต่ขนข้าวของทั้งหมดออกมาวางข้างนอกบ้านเสียก็หมดเรื่อง
     ชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นรีบทำตามทันที เขาเริ่มขนข้าวของซึ่งโดยมากล้วนเป็นสิ่งซึ่งไม่จำเป็น หากแต่เขาเก็บเอาไว้ เพราะความละโมภมากกว่าออกมาทิ้งนอกบ้าน ขนอยู่สองวัน จนบ้านว่างโล่งและดูกว้างขึ้นมาผิดหูผิดตา คราวนี้เขามีความสุขมาก  รำพึงกับตัวเองว่า  แหม..บ้านของฉันช่างกว้างขวางและน่าอยู่เสียนี่กระไร
     นักปราชญ์เปรยขึ้นมาว่า  บ้านของเจ้าน่ะ มันกว้างขวางว่างโล่งและน่าอยู่มาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เจ้าของต่างหากล่ะที่ทำให้มันไม่น่าอยู่ ด้วยการบรรจุอะไรๆ ที่เกินจำเป็นใส่เข้าไปจนบ้านกลายสภาพเป็นกองขะดีดีนี่เอง..




        การจัดการชีวิตให้มีความสุขนั้น ทางที่ถูกอาจไม่ใช่การใส่อะไรลงไปในชีวิต แต่แท้ที่จริงแล้ว คือ การถ่ายเท ปล่อยวางหรือระบายบางสิ่งบางอย่างออกจากชีวิตมากกว่า...ในพุทธศาสนานั้น เราถือกันว่า ความสุขอาจเกิดจากความมี (สามิสสุข) ก็ได้ แต่ที่เหนือกว่านั้น ความสุขอาจเกิดจากความเป็นอิสระ
     จะดีกว่าไหม หากมีเวลาว่าง  คนรักกัน น่าจะลองหาวิธีทำพื้นที่หัวใจให้ว่าง  ด้วยการถอดถอนบางอย่างทิ้งออกไป ขอเพียงเรียนรู้ที่จะลดบางอย่างลงไป  ความสุขในหัวใจก็คงจะเพิ่มขึ้น

ความสุข   บางครั้งอาจไม่ได้ผูกพันอยู่กับความมี  
แต่บางที...อาจมาจากความว่าง....

จากหนังสือพิมพ์สังฆทานนิวส์ ฉบัยที่ 110 วันที่  1-31 ตุลาคม 2555 หน้า 3 คอลัมน์ มุมนี้ใจสบาย 


**¨**¨**¨**


 


จาก www.jozho.net แนะนำ CD5 พระคุณแม่

✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。✿



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น